พลเรือเอก เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) เป็นบุตรชายของพระนมทัต ซึ่งเป็นพระนมของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่ ๖ เมื่ออายุ ๑๓ ปี หม่อมหลวงเฟื้อเข้าถวายตัวอยู่กับสมเด็จพระบรมโอรสา ธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร พระองค์ให้ท่านเข้าเรียนที่โรง เรียนมหาดเล็กหลวงจนอายุ ๑๕ ปี จึงได้เข้ารับราชการในพระองค์ ตําแหน่งสํารองราชการนายเวรขวา ดูแลเครื่องเสวย และปฏิบัติราชกิจทั่วไป เป็นนายในที่ รัชกาลที่ ๖ ทรงโปรดที่สุด คอยอยู่ปรนนิบัติใกล้ชิดตั้งแต่ตื่นบรรทมจนถึงเข้าบรรทม ร่วมโต๊ะเสวยแทบทุกมื้อ และได้รับความไว้วางใจจากพระองค์มาก แม้ แต่เวลาที่พระองค์ไม่สบพระราชหฤทัย ขณะที่ข้าราชการไม่กล้าเข้าใกล้ก็ยังมีเจ้าพระยารามราฆพอยู่ใกล้ ๆ ในพระราชหัตถเลขาในวันครบรอบ ๒๑ ปี ขณะ พระยารามราฆพยังดํารงตําแหน่งจ่ายง มีใจความส่วนหนึ่งว่า “เป็นอุปถากอันถูกใจหาผู้ใดจะเสมอเหมือนได้โดยยาก” และอยู่เคียงข้างพระองค์จวบจนวัน สุดท้ายในพระชนม์ชีพ เป็นผู้ที่พระองค์วางพระหัตถ์ที่มือจนกระทั่งเสด็จสวรรคต
และเมื่อเจ้าพระยารามราฆพอายุครบ ๒๔ ปี รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชทานที่ดินพร้อมสร้างบ้านให้ พระองค์มีพระราชหัตถเลขา ยืนยันการพระราชทานที่ดิน แปลงนี้ ใจความว่า “ที่ดินซึ่งได้ทําเป็นสวนเพาะปลูกพรรณไม้ต่าง ๆ อันอยู่หลังโรง ทหารราบที่ ๑ ตําบลสวนดุสิตแปลงหนึ่งนี้เป็นที่ของพระคลังข้างที่ มี จํานวนกว้างยาว คือ ทิศเหนือยาวไปตามถนนคอเสื้อ ๔ เส้น ๑๕ วา ๒ ศอกคืบ ทิศใต้ยาวไปตามถนนลูกหลวง ๔ เส้น ๑๑ วา ทิศตะวันออกยาวไปตามถนน ฮก ๖ เส้น ๗ วา ๒ ศอกคืบ ทิศตะวันตกจากคลองแลยาวไปตามคลอง ๖ เส้น ๓ วาศอก...
“ข้าพเจ้าเห็นว่าพระยาประสิทธิศุภการ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) เป็นผู้ที่ได้รับใช้ใกล้ชิดกราดกรํามาด้วยความจงรักภักดีอันมั่นคงต่อข้าพเจ้ามาช้านาน บัด นี้สมควรจะให้ที่บ้านอยู่เพื่อความสุขสําราญจะได้เป็นกําลังที่จะรับราชการสืบไป จึงทําหนังสือสําคัญฉบับนี้ยกที่ดินอันกล่าวมาแล้วข้างต้นให้เป็นสิทธิเป็น ทรัพย์แก่พระยาประสิทธิศุภการสืบไป พระยาประสิทธิศุภการจะปลูกสร้าง เปลี่ยนแปลงในที่รายนี้ ฤาจะซื้อขายให้ปันแก่ผู้หนึ่งผู้ใดก็ตามแต่ใจพระยาประสิทธิ ศุภการทุกประการ...”
ส่วนบ้านที่พระองค์พระราชทานทุนทรัพย์ก่อสร้างนั้น ได้ให้ช่างชาวอิตาลีซึ่งมาสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคมมาก่อสร้าง โดยมีนายคาร์โล อัลเลกรี นายเอ. ใจ วันนี กอลโล เป็นวิศวกร นายมาริโอ ตามาญโญ และนายอันนิบาเล ริก็อตติ เป็นสถาปนิก ทีมช่างที่สร้างเรียกบ้านหลังนี้ว่า “วิลล่า นรสิงห์” ซึ่งถอดแบบมา จากพระราชวังคาโดโร (Ca' d'Oro Palace) นครเวนิส ประเทศอิตาลี ดังนั้นสถาปัตยกรรมที่ใช้ในการก่อสร้างจึงเป็นสไตล์โกธิคแบบเวนิส (Venetian Gothic)ที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะแบบไบเซนไทน์และแขกมัวร์ ซึ่งเป็นศิลปะที่เชื่อมโยงความคิดและลักษณะแบบตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน จึงงด งามตระการตา แต่การก่อสร้างต้องหยุดชะงักไปเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ทีมช่างต่างกลับประเทศบ้านเกิด จึงยังไม่แล้ว เสร็จสมบูรณ์
ในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ พระยารามราฆพได้มีหนังสือแจ้งถึงรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง (นายปรีดี พนมยงค์) เสนอขายบ้านนรสิงห์ให้กับรัฐบาลในราคา ๒ ล้านบาท เนื่องจากบ้านใหญ่โตต้องเสียค่าบํารุงรักษาสูง ซึ่งกระทรวงการคลังปฏิเสธในคราวแรก แต่ในเดือนกันยายนปีเดียวกัน จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐ มนตรี เห็นว่าควรซื้อไว้เพื่อใช้เป็นสถานที่รับรองแขกบ้านแขกเมือง จึงได้ตกลงซื้อขายกันในราคา ๑ ล้านบาท และใช้เป็นที่ตั้งทําเนียบรัฐบาลตั้งแต่ปีนั้นเป็น ต้นมา โดยเปลี่ยนชื่อจากบ้านนรสิงห์เป็น “ทําเนียบสามัคคีชัย” และทําเนียบรัฐบาลในท้ายที่สุด ส่วนการก่อสร้างที่ยังไม่แล้วเสร็จนั้น ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ซึ่งรับราชการอยู่กรมศิลปากร ได้เกณฑ์นักเรียนแผนกช่างโรงเรียนศิลปากรมาสานต่อและตกแต่งจนเสร็จสมบูรณ์ ด้วยรากฐานความสง่างามของ บ้านนรสิงห์ในอดีต ทําให้ทําเนียบรัฐบาลซึ่งเป็นศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดิน มีความมั่นคงสงบสง่างามและมีเอกลักษณ์ความเป็นไทย เป็นความ ภาคภูมิใจของคนทั้งประเทศ และเป็นที่ยอมรับนับถือจากอารยประเทศ